เขื่อนศรีนครินทร์
นำพาชุมชนตำบลหนองเป็ดศึกษาดูงาน ตั้งแต่วันที่ ๒๐-๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ซึ่งเป็นชุมชนรอบๆ
โรงไฟฟ้าเขื่อนศรีนครินทร์ อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี บริหารงานโดย
นายนพนันท์ ศรีสุวรรณ์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองเป็ด
จำนวน ๔ หมู่บ้าน ดูงาน ณ หมู่บ้านสามขา หมู่ที่๖ตำบลหัวเสือ อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง
และชุมชนบ้านแม่ระวาน
หมู่ที่๕ ตำบลยกกระบัตร
อำเภอสามเงา จังหวัดตาก
เมื่อวันอังคารที่
๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๗ เวลา๐๗.๐๐น.:นางพิมพ์ญาดา ไกรกิจราษฎร์
พนักงานวิชาชีพระดับ๕ แผนกประชาสัมพันธ์ และชุมชนสัมพันธ์เขื่อนศรีนครินทร์
พร้อมผู้แทนกองบริหาร เขื่อนศรีนครินทร์ ประกอบด้วยนางสาวยุวดี คำหงส์
พนักงานวิชาชีพระดับ๗ แผนกบัญชีเจ้าหนี้ และนางดลฤดี วิริยาลัย
พนักงานวิชาชีพระดับ๗ แผนกบัญชีการเงิน เขื่อนศรีนครินทร์ สำหรับพาหนะเป็นรถบัสใช้ในการเดินทาง
วัตถุประสงค์ของการศึกษาดูงานในครั้งนี้ คือ ชุมชนต้องการเรียนรู้กระบวนการบริหารจัดการน้ำจากป่าต้นน้ำ-ลำธาร
เกี่ยวกับเรื่องการสร้างฝายชะลอน้ำ วิธีการปลูกหญ้าแฝกและปลูกต้นไม้ยืนต้นชนิดใดที่จะช่วยยึดการพังทลายของหน้าดิน
เนื่องด้วยขณะนี้ชุมชนได้ทำการขุดลอกคลองเพื่อกักเก็บน้ำมีระยะทางความยาวพื้นที่คลอง
จำนวน ๒.๕ กิโลเมตร ส่วนด้านข้างขอบคลองนั้นกว้าง ๓-๔ เมตร
ส่วนนี้ที่ชุมชนต้องหาวิธีไม่ให้หน้าดินพังทลายเวลาน้ำหลาก
เพราะตะกอนที่มาทับถมจะทำให้คลองตื้นขืนเร็วและทำให้ไม่เกิดความคุ้มค่า
นั่นเองอยากรู้วิธีการดำเนินวิถีชีวิตชุมชนระหว่างคนกับป่าอยู่อย่างยั่งยืนมีวิธีการอย่างไรบ้าง
และเมื่อน้ำ ป่า ดิน เกิดความสมบูรณ์แล้วต้องการสร้างรายได้เพิ่มให้กับชุมชน
สุดท้ายต้องการรู้ข้อมูลการบริหารจัดการป่าชุมชน ซึ่งปัจจุบันพื้นที่ตำบลหนองเป็ด
เป็นป่าอนุรักษ์อยู่ในเขตพื้นที่รักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ
ชุมชนสามารถนำมาเป็นป่าชุมชนได้หรือไม่
จากวัตถุประสงค์ดังกล่าวข้างต้น
จึงเป็นที่มาในการเดินทางศึกษาดูงาน ในวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๗ เข้าเรียนรู้หมู่บ้านสามขา หมู่ที่๖ ตำบลหัวเสือ
อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง ซึ่งได้รับการต้อนรับจากท่านผู้ใหญ่บุญเรือน เฒ่าคำ
และอาจารย์ภานุพงศ์ นามวงศ์ ชุมชนได้เข้าเรียนรู้แนวทางการฟื้นฟูป่าต้นน้ำด้วยการสร้าง“ฝายชะลอความชุ่มชื้น”ตามแนวพระราชดำริ
ซึ่งใช้ต้นทุนต่ำ แต่ประสิทธิภาพสูง ฝายชะลอความชุ่มชื้นสามารถช่วยชะลอการไหลหรือลดความรุนแรงของกระแสน้ำ
ช่วยให้น้ำซึมลงสู่ดินบนภูเขาได้มากขึ้น
เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับระบบนิเวศของป่าต้นน้ำ ลดความรุนแรงจากการเกิดไฟป่า
และทำให้ป่าเป็นธนาคารน้ำสำหรับชุมชน การเรียนรู้จากผู้อื่นถือเป็นการลดอัตตา
เปิดรับความคิดของคนอื่นและพร้อมเรียนรู้จริงจัง บทเรียนสำคัญคือ
เงินไม่ใช่คำตอบในการสร้างฝาย หากคนและความคิดยังไม่พร้อม
ทุกอย่างไม่สามารถเกิดได้
ชาวบ้านไม่เกิดความรู้สึกว่าฝายชะลอความชุ่มชื้นเป็นของตนเอง
บทบาทของชาวบ้านเป็นแค่แรงงานรับจ้าง รอคอยความช่วยเหลือจากส่วนกลาง
แก้ปัญหาเฉพาะหน้าระยะสั้น ไม่สามารถขยายผลเป็นการร่วมแรงร่วมใจของชุมชนได้
พลังเยาวชน เปลี่ยนคน เปลี่ยนความคิด ฝายชะลอความชุ่มชื้นเกิดผล สภาพป่าฟื้นฟู
พื้นดินมีความชุ่มชื้น น้ำตามลำห้วยกลับมามีตลอดทั้งปี คนในหมู่บ้านเปลี่ยนความคิด
ต้องการสร้างฝายมากกว่าสร้างอ่างเก็บน้ำ โดยตั้งเป้าสร้างฝายจำนวน ๓,๐๐๐ ฝาย
เกิดเวทีเครือข่ายที่ร่วมกันตั้งคำถามว่า ชุมชนสร้างฝายเพื่อประโยชน์อะไร
ต้องสร้างอย่างไร ตรงไหน ท้องถิ่นต้องมีส่วนร่วมอย่างไร สอดคล้องกับหลักยึดหรือไม่
จะพัฒนาแนวทางสร้างฝายอย่างไรให้เกิดประโยชน์จริง
นอกจากนี้ชุมชนยังได้ทำแนวกันไฟป่า จัดชุดตรวจเวรยามในการดับไฟป่า
โดยกำหนดพื้นที่ป่าอนุรักษ์ห้ามตัดไม้โดยเด็ดขาด ๑๒,๐๐๐ ไร่
เพื่อเป็นแหล่งต้นน้ำ และได้กันเขตป่าชุมชนไว้เป็นเขตตัดไม้ใช้สอยได้ตามความจำเป็น
มีระเบียบการใช้ประโยชน์ร่วมกันของชุมชม เช่น ห้ามตัดไม้ในเขตป่าอนุรักษ์
การห้ามนำสัตว์เลี้ยง วัว ควาย ขึ้นไปในเขตต้นน้ำ ห้ามจับสัตว์น้ำในเขตอนุรักษ์
มีการใช้ประโยชน์จากป่าเป็นแหล่งอาหารได้ เช่น เห็ด ผลไม้ป่า หน่อไม้ ผัก
สมุนไพรต่างๆ แต่ปัญหาที่ตามมาคือ การรุกเข้ามาเก็บหาของป่า
และไฟป่าที่เกิดจากชุมชนข้างเคียง จึงคิดว่าต้องทำแนวกันไฟยั่งยืน คือ
สร้างเครือข่ายเพื่อนบ้าน และเครือข่ายลุ่มน้ำจาง ให้เกิดกระบวนการคิด ลงมือสร้างฝาย
และแนวกันไฟ ร่วมกันดูแลป่าต้นน้ำของตนเอง เมื่อป่าคืนความอุดมสมบูรณ์
สรรพชีวิตกลับมาสู่ป่า ชุมชนต่างๆ จะมีทรัพยากรธรรมชาติต้นทุนของท้องถิ่น
และเรียนรู้การอยู่อาศัยร่วมกับธรรมชาติ ความแตกต่างของฝายชะลอความชุ่มชื้น
ชุมชนบ้านสามขา คือเรื่องของกระบวนการเรียนรู้ มากกว่าเรืองของจำนวนฝาย
ชุมชนเกิดปัญญาด้วยการลงมือทำ สั่งสมบทเรียนและประสบการณ์
กระทั่งสามารถมองปัญหาและแก้ไขในระยะยาวเพิ่มขึ้น พัฒนาความคิดในการพึ่งตนเอง
ส่งเสริมและปลูกฝังความคิดเรื่องการอนุรักษ์ป่าต้นน้ำสู่ชุมชนและท้องถิ่นใกล้เคียงอย่างต่อเนื่อง
ขยายเครือข่ายแนวร่วมเพื่อให้ธรรมชาติและระบบนิเวศของชุมชนฟื้นคืน
ท้องถิ่นและเครือข่ายเกิดองค์ความรู้ในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนปัจจุบัน
ทางชุมชนได้ก่อตั้งโรงงานไฟฟ้าพลังน้ำขนาดจิ๋วขึ้นในชุมชนซึ่งเป็นผลที่ได้จากการที่ชาวบ้านช่วยกันดูแลผืนป่าจนได้น้ำกลับมาใช้อย่างพอเพียงเหมือน
เช่นอดีต อีกครั้ง
วันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ดูงาน ณ หมู่บ้านแม่ระวาน หมู่ที่๕ ตำบลยกกระบัตร อำเภอสามเงา จังหวัดตาก
ได้การต้อนรับจากผู้นำชุมชน นายพงษ์สิริ นนทะชัย และได้เดินทางเข้าชมพื้นที่จริงโดยรถตองแตกของชุมชนเป็นการเรียนรู้วัฒนธรรมความเป็นอยู่ที่ยังคงรักษาได้อย่างดีเยี่ยม
ซึ่งชุมชนมีการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่อนุรักษ์ของป่าชุมชนร่วมกับหมู่บ้านอื่นรอบผืนป่า
๖ หมู่บ้าน จากคิดแก้ปัญหา “ระเบิดจากภายใน” เกิดเป็นเครือข่ายป่าชุมชน
รวมพื้นที่ ๑๕,๔๐๐ ไร่ ทำเกษตรผสมผสาน เป็นหมู่บ้านต้นแบบเศรษฐกิจพอเพียง
เกิดศูนย์เครือข่ายปราชญ์ชาวบ้านบ้านแม่ระวาน โดยบ้านแม่ระวานเป็นแกนนำในการจัดทำโครงการต่างๆ
เพื่อการฟื้นฟูป่า และหมู่บ้านเครือข่ายเป็นแนวร่วมในการทำงาน สร้างฝายชะลอน้ำบริเวณต้นน้ำห้วยแม่ระวาน
และบริเวณป่าชุมชน รวมกว่า ๑,๒๐๐ ฝาย รวมทั้งปลูกป่า และทำแนวกันไฟป่า ทำเกษตรผสมผสาน
(ไร่นาสวนผสม) ลดละเลิกสารเคมีแนวพระราชดำริที่นำมาใช้อนุรักษ์และฟื้นฟูป่า การสร้างฝายชะลอน้ำ
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงผลสำเร็จ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบริเวณป่าชุมชนสภาพป่าปรับตัวสมบูรณ์ขึ้น
ปลายลำห้วยมีน้ำตลอดปี มีน้ำอุดมสมบูรณ์ เพียงพอสำหรับทำการเกษตร เป็นหมู่บ้านต้นแบบเศรษฐกิจพอเพียงของจังหวัดตาก
เกิดศูนย์เครือข่ายปราชญ์ชาวบ้านบ้านแม่ระวาน
เป็นที่ศึกษาดูงานและอบรมให้ความรู้กับผู้ที่สนใจ เครือข่ายหน่วยงานสนับสนุน
และแหล่งที่มาของงบประมาณสนับสนุนชุมชน,หน่วยงานภาครัฐ,หน่วยงานภาคเอกชนหมู่บ้านรอบพื้นป่าผาต้อน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)
เขื่อนภูมิพล, แม่เมาะ, เขื่อนสิริกิติ์
และหน่วยงานมากมายฯลฯ
หลังจากนั้นได้เดินทางเข้าเขื่อนภูมิพล
เพื่อร่วมถอดบทเรียนกับพี่น้องชุมชนในสิ่งที่ได้ศึกษาดูงานในครั้งนี้
โดยมีอาจารย์ภานุพงศ์ นามวงศ์ ให้เกียรติเป็นวิทยากรกระบวนการ ซึ่งมีประเด็นคำถาม
ดังนี้ คำถามข้อที่ ๑.สิ่งที่ชุมชนประทับใจในการศึกษาดูงานทั้ง ๒
พื้นที่มีอะไรบ้าง? คำถามข้อที่๒.
เราจะนำไปประยุกต์ใช้ได้จริงในพื้นที่ของตนเองมีอะไรบ้าง?โดยให้พี่น้องชุมชน
ทั้ง ๔ หมู่ ช่วยกันตอบคำถาม และจากกระบวนการศึกษาดูงานนี้ เราสามารถติดตามความตั้งใจจริงของชุมชนได้อย่างเป็นรูปธรรม
พร้อมติดตามการทำงานของชุมชนได้อย่างต่อเนื่องสู่ความยั่งยืนร่วมกันนั่นเอง


