วันอังคารที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เขื่อนศรีนครินทร์ เข้าร่วมเวที “เสวนา ปัญหาช้างป่า” จังหวัดกาญจนบุรี

นายวรการ สงวนวงศ์ หัวหน้ากองโรงไฟฟ้าเขื่อนท่าทุ่งนา นายสำเริง  กลำพบุตร หัวหน้าแผนกประชาสัมพันธ์ และชุมชนสัมพันธ์เขื่อนศรีนครินทร์ พร้อมกับคณะทำงาน เข้าร่วมเวทีเสวนา ปัญหาช้างป่า จังหวัดกาญจนบุรี ณ ห้องประชุมองค์การบริหารส่วนตำบลช่องสะเดา อ.เมือง จังหวัดกาญจนบุรี
เมื่อวันศุกร์ ที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๕๗ เวลา ๐๙.๐๐น. นายวรการ สงวนวงศ์ หัวหน้ากองโรงไฟฟ้าเขื่อนท่าทุ่งนา นายสำเริง  กลำพบุตร หัวหน้าแผนกประชาสัมพันธ์ และชุมชนสัมพันธ์เขื่อนศรีนครินทร์ พร้อมกับคณะทำงาน เดินทางเข้าร่วมเวทีเสวนาปัญหาช้างป่า จังหวัดกาญจนบุรี โดยการจัดของคณะทำงานเครือข่ายภาคประชาสังคมจังหวัดกาญจนบุรี ร่วมกับสภาองค์กรชุมชน ตำบลช่องสะเดา และทุกภาคส่วนราชการ เอกชน ประชาชน จำนวนมากกว่า ๗๐ หน่วยงาน เพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน โดยมีนายกองค์การบริหารส่วนตำบลช่องสะเดาเป็นประธานเปิดการเสวนา ซึ่งการประชุมครั้งนี้ได้พูดคุยกันในเรื่องของขั้นตอนประเด็นในการให้ข้อมูลการดำเนินงานในการดูแลช้างโดยนายไพฑูรย์ อินทรบุตร หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ , ข้อมูลการดำเนินคดีที่เกี่ยวข้องกับช้างโดยฝ่ายตำรวจหรือฝ่ายปกครอง , เรื่องมูลนิธิช้างและผู้ได้รับผลกระทบโดยผู้แทนของประชาชนตำบลช่องสะเดา , ข้อมูลวิถีชีวิตของช้าง โดยเจ้าของปางช้างเขตเมืองและอำเภอไทรโยค และข้อมูลเพิ่มเติมจากเวทีเสวนาและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น โดยนายพิพัฒน์ แก้วจิตคงทอง
ซึ่งจากการเสวนาร่วมกัน ได้ข้อสรุปดังนี้
๑.ต้องจัดตั้งหน่วยประสานงานร่วมเป็นคณะกรรมการประสานงานเพื่อแก้ปัญหาจังหวัดกาญจนบุรี
กป.ชช. (คณะกรรมการแก้ปัญหาช้างป่าร่วมกัน)
๒.พิจารณาจัดตั้งกองทุน เยียวยา สนับสนุนอาชีพ
๓.จัดทำข้อเสนอ แผน สั้น กลาง ยาว โดยร่วมมือการสร้าง “สัญญาใจ” (MOU) เพื่อสร้างบรรทัดฐาน
ในการทำงานอย่างยั่งยืน ในอนาคต เป็นการแก้ปัญหา เชิง “บูรณาการ”
๔.รีบเร่งจัดตั้ง ร่างระเบียบกองทุน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน มีกลไก ระเบียบ วาระ
๕.จัดทำแผนบูรณาการแบบมีส่วนร่วม เพื่อแก้ปัญหาแบบยั่งยืน
๖.ปรับปรุงแนวกั้นรั้ว จาก ๕ กิโลเมตร เป็น ๑๐ กิโลเมตร
ช้างป่าวันนี้ไม่ใช่ของคนใด คนหนึ่ง แต่ช้างป่าวันนี้ เป็น“สมบัติของแผ่นดิน”เปรียบเสมือนญาติของเรา เป็นคนในครอบครัว พวกเราจงร่วมใจกันช่วยกันแก้ปัญหานี้ในรูปแบบเชิง “บูรณาการร่วมกัน” เพื่อความยั่งยืนในอนาคต