เมื่อวันพุธที่ 23 กรกฎาคม 2557 เวลา 09.00น. นายพจน์ ปัญญะ ช่างระดับ7 แผนกบำรุงรักษาบริเวณ ผู้แทนกองบำรุงรักษาโยธา เขื่อนศรีนครินทร์ งานด้าน CSR และนางพิมพ์ญาดา ไกรกิจราษฎร์ แผนกประชาสัมพันธ์ และชุมชนสัมพันธ์เขื่อนศรีนครินทร์ ร่วมให้ข้อมูลกับ นางสาวโสภา ชิงโชคชัย แผนกพัฒนาส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคม(หพส-ค.) กองบริหารเครือข่ายกิจการสังคม(กบค-ค.) ฝ่ายกิจการสังคม(อกค.)พร้อมทีมงานที่เข้าร่วมสำรวจพื้นที่ โดยมีการเข้าชมศูนย์เรียนรู้โครงการชีววิถีเขื่อนศรีนครินทร์ และเดินทางเข้าพื้นที่พบ นายสุมล จันทร์คำ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลด่านแม่แฉลบ อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี ปรึกษาเกี่ยวกับงานกิจกรรม “สร้างฝายชะลอน้ำ”ในพื้นที่ หมู่6 บ้านดงเสลา ซึ่งเป็นพื้นที่ป่าต้นน้ำ-ลำธารของพี่น้องชุมชนชาวกะเหรี่ยง และพี่น้องชุมชนต้องใช้น้ำประปาภูเขาในการอุปโภคและบริโภคร่วมกันรวม 2 ตำบล คือตำบลด่านแม่แฉลบ และตำบลนาสวน รวม 10,000 คน จึงเป็นที่มาของการเข้าสำรวจพื้นที่ในครั้งนี้ ซึ่งกิจกรรมที่จะเข้าร่วมทำจริง ในวันเสาร์และอาทิตย์ ที่ 13-14 กันยายน 2557 นี้
จากการเข้าสำรวจพื้นที่จริงจึงเห็นร่วมกันว่าพื้นที่ป่าต้นน้ำ “ห้วยดงเสลา” นี้ นับเป็นพื้นที่สำคัญของอำเภอศรีสวัสดิ์ ที่พวกเราต้องร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจ กันอย่างจริงจังเพราะการอนุรักษ์ต้นน้ำลำธาร คือ การใช้ การดูแลรักษาและปรับปรุงฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติในบริเวณพื้นที่ต้นน้ำลำธาร ที่สำคัญได้แก่ ป่าไม้ ดิน และน้ำ ด้วยวิธีการที่เหมาะสมโดยให้มีการสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติน้อยแล้วได้รับ ประโยชน์คุ้มค่า ดังนั้นเราควรใช้หลักพื้นฐานตามแนวพระราชดำริในการอนุรักษ์ต้นน้ำที่ว่า “เมื่อมีป่าก็จะมีน้ำ มีดินอันอุดม มีความชุ่มชื้นของอากาศ และเกื้อกูลต่อการดำรงชีวิตของคน โดยวัตถุประสงค์ปลายทางอยู่ที่การเกื้อกูลการดำรงชีวิตของมนุษย์ และการอยู่ร่วมกันของคนกับป่า” เพื่อแก้ปัญหาที่ได้กล่าวไปเราจึงต้องหาวิธีเปลี่ยนผู้ทำลายทรัพยากรให้กลายมาเป็นผู้อนุรักษ์ทรัพยากร โดยการดำเนินนโยบายที่เน้นการมีส่วนร่วมของชุมชน ซึ่งสิ่งแรกที่ควรทำคือส่งเสริมการศึกษา เช่น เพิ่มเนื้อหาการเรียนเกี่ยวกับประโยชน์ของต้นน้ำ และการอนุรักษ์ต้นน้ำ และจัดหน่วยงานของรัฐไปอบรมชาวบ้านเพื่อให้ชาวบ้านมีความรู้ เมื่อชาวบ้านมีการศึกษา มีความรู้ ก็ย่อมเกิดความเข้าใจเกิด สำนึกทางสังคม และสำนึกในทางอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ต่อมาคือส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการปลูกป่า และจัดการทรัพยากรด้วยตนเอง เช่น ป่าไม้ชุมชน เพราะนอกจากจะได้ป่าเพิ่มแล้วยังเป็นการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพเพื่อเพิ่มรายได้ ให้แก่คนในชุมชนอีกด้วย เมื่อปฏิบัติตามขั้นตอนนี้แล้วคนในชุมชนจะมีความรู้ว่าสิ่งใดเป็นการทำลายทรัพยากรสิ่งใดเป็นการอนุรักษ์ทรัพยากร และจะไม่กลับไปทำลายมันอีกเพราะไม่จำเป็นที่จะทำแล้วเนื่องจากมีอาชีพ และรายได้พอกับการดำรงชีพ การพึ่งพาของ
คนและป่าเช่นนี้จะทำให้คนอยู่ร่วมกับป่าได้อย่างมั่นคง และยั่งยืน ป่าอยู่ได้เพราะคน และจะหมดไปเพราะคนเช่นกันธรรมชาติ จึงลงโทษคนเพราะคนไม่ช่วยกันดูแลและห่วงแหน